Pattani used to be one of the important port cities in Southeast Asia, where two great cultures–Chinese and Muslim–met, merged and prospered. In the fourteenth century Pattani was an entrepot for the distribution of porcelain, iron, copper and other goods from China to different parts of Southeast Asia. Traders from Borneo purchased a lot of Chinese metals from Pattani. Muslim traders settled down and prospered in Pattani around 1520 (ฺB.E. 2063). The Grand mosque of Pattani was built by Chinese builders at the end of the sixteenth century using brick as the main construction material. The building style was influenced by the great numbers of Chinese, West Asians and Europeans who settled in the Southeast Asian port cities since 1500. They produced hybrids in terms of architectural styles, construction methods and forms.
ปัตตานีเคยเป็นหนึ่งในเมืองท่าที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นที่ที่วัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่คือจีนและมุสลิมมาเจอกัน หลอมรวมกันและเจริญรุ่งเรือง ในศตวรรษที่ 14 ปัตตานีเคยเป็นศูนย์จัดจำหน่ายเครื่องปั้นดินเผา เหล็ก ทองแดงและสินค้าต่างๆ จากประเทศจีนไปยังอีกหลายๆ แห่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พ่อค้าจากแถบบอร์เนียวมาซื้อเหล็กประเทศจีนจากปัตตานีเป็นจำนวนมาก พ่อค้าชาวมุสลิมมาตั้งรกรากและมีชีวิตที่รุ่งเรืองอยู่ที่ปัตตานีในช่วงปีพ.ศ. 2063 (ค.ศ. 1520) มัสยิดใหญ่ปัตตานีถูกสร้างขึ้นโดยช่างก่อสร้างชาวจีนในช่วงตอนปลายศตวรรษที่ 16 โดยใช้ก้อนอิฐเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก รูปแบบการก่อลร้างได้รับอิทธิพลมาจากชาวจีน ชาวเอเชียตะวันตก และชาวยุโรปที่มาตั้งรกรากในเมืองท่าเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2043 (ค.ศ.2043). ใช้สไตล์ วิธีการก่อสร้าง และแบบก่อสร้างสถาปัตยกรรมแบบผสม
In the sixteenth century, Pattani was ruled by Lin Tao-chien, a famous Chinese Muslim pirate. His sister, Lin Kuniang (or Lim Ko Niao) came to Pattani from Swatow China to persuade her brother to abandon his religion and return to China. Because Lin Tao-chien had married a daughter of the local Malay chieftain and had harboured greater ambitions, he refused. The desperate Lin Kuniang committed suicide and cursed the mosque that was built near the location of her death at Ban Kruesae.
ในศตวรรษที่ 16 ปัตตานีอยู่ในการปกครองของหลินเทาเฉียน โจรสลัดชาวจีน-มุสลิมที่มีชื่อเสียง น้องสาวหลินกูเหนียง (ลิ้มกอเหนี่ยว) เดินทางจากเมืองซัวเถาประเทศจีนมาถึงปัตตานีเพื่อชักชวนพี่ชายให้เลิกเป็นมุสลิมและเดินทางกลับประเทศจีน เนื่องจากหลินเทาเฉียนแต่งงานกับหญิงชาวมลายูที่เป็นลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านและด้วยความที่มีความทะเยอทะยานจึงได้ปฎิเสธน้องสาวไป หลินกูเหนียงที่ตกอยู่ในความอับจนหนทางจึงตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง ก่อนเสียชีวิตได้ทำการสาปแช่งมัสยิดที่สร้างอยู่ใกล้บริเวณที่เธอเสียชีวิตแถวบ้านกรือเซะ
Ban Kruesae is located about seven kilometers east of Pattani, where the old mosque and some Chinese tombs are still standing. According to local legends, because of the curse, it was never possible to complete the construction of the mosque. The mosque is believed to be built from around 1578 to 1589. Its architectural style bears semblance to the Persian style mosque in Quanzhou, China, with its roof and walls left unfinished.
Soray Deng Photographer
บ้านกรือเซะตั้งอยู่ทางตะวันออกะยะทางประมาณ 7 กิโลเมตรจากของเมืองปัตตานี เป็นสถานที่ยังคงมีีมัสยิดเก่าแก่และฮวงซุ้ยสุสานจีน จากตำนานเล่าขานกันในท้องถิ่น เป็นเพราะคำสาปทำให้ไม่สามารถก่อสร้างมัสยิดให้แล้วเสร็จได้ มัสยิดแห่งนี้เชื่อว่าสร้างขึ้นในช่วงปีพ.ศ. 2121 - 2132 รูปแบบสถาปัตยกรรมมีความคล้ายคลึงกับมัสยิดแบบเปอร์เซียในเมืองกวานโจว ประเทศจีน โดยที่หลังคาและผนังถูกปล่อยทิ้งไว้แบบไม่เสร็จสมบูรณ์
Cr. Johannes Widodo is an associate professor at the Department of Architecture, National University of Singapore.
Thank you for all photos and video clips
No comments:
Post a Comment